เมื่อเทคโนโลยีได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของการดำเนินชีวิต และการทำงานในแต่ละวันของเราไปแล้ว การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ จะช่วยให้เราสามารถปรับตัว และนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุก ๆ ด้าน ทั้งประโยชน์ในการดำเนินชิวิตประจำวัน การทำงาน และการดำเนินธุรกิจ และจะทำให้เราไม่ตกเทรนด์ค่ะ หลาย ๆ บริษัท ได้นำเครื่องมือ…
เทรนด์เทคโนโลยีในแต่ละปีเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจมากๆ ว่าเราจะเห็นเทคโนโลยีก้าวหน้าไปในทิศทางใด จะทำให้การดำเนินชีวิต การดำเนินธุรกิจ พัฒนาไปอย่างไร? และยังเป็นแนวทางให้นักลงทุน เจ้าของธุรกิจ และผู้คน วางแผนว่าจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างไรบ้าง?
ในปี 2023 นี้ จะมีเทคโนโลยีใดที่น่าจับตามอง เราไปดูกันเลยค่า
1. AI จะอยู่ทุกที่
ในปี 2023 เทคโนโลยี AI (Artificial intelligence) จะกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจขององค์กรต่างๆ และสามารถสร้าง AI Solutions ขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ ด้วยวิธี Drag-and-drop โดยไม่ต้องเขียน Code (No-code AI) ให้ยุ่งยาก จึงทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นด้วยพลังของ AI
- ตัวอย่างการนำ AI ไปใช้
บริษัท Stitch Fix ซึ่งทำธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เป็นหนึ่งในธุรกิจที่นำ AI ไปใช้แล้ว โดยใช้ AI แนะนำเครื่องแต่งกายที่มีขนาดและรสนิยมตรงกับความต้องการของลูกค้า
ในปี 2023 การช้อปปิ้งและการจัดส่งแบบไร้การสัมผัส จะเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และ AI ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถชำระเงิน รับสินค้า และบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
AI จะเข้าไปอยู่ในเกือบทุกกระบวนการทางธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ธุรกิจค้าปลีก มีแนวโน้มที่จะใช้ AI เข้ามาบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น ประกอบกับ Convenience trends หรือเทรนด์ที่เน้นความสะดวกสบาย เช่น การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ จะกลายเป็นเรื่องปกติ เช่น
- Buy-online-pickup-at-curbside (BOPAC) คือ รูปแบบที่ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และไปรับสินค้าที่ร้านค้าด้วยตนเอง โดยผู้บริโภคไม่ต้องลงจากรถเพื่อมารับสินค้า เนื่องจากพนักงานของร้านค้าจะเป็นผู้นำสินค้ามาส่งให้ถึงที่รถ
- Buy-online-pickup-in-store (BOPIS) คือ รูปแบบที่ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และไปรับสินค้าที่หน้าร้านค้าด้วยตนเอง
- Buy-online-return-in-store (BORIS) คือ รูปแบบที่ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และรอสินค้าจัดส่งมาให้ที่บ้าน และหากลูกค้าไม่พอใจในตัวสินค้า ก็สามารถนำสินค้ามาส่งคืนที่หน้าร้านได้
AI จะเป็นกลไกที่อยู่เบื้องหลังของการจัดส่งสินค้าโดยอัตโนมัติเหล่านี้ ดังนั้น ผู้ที่ทำงานอยู่ในธุรกิจค้าปลีก จะต้องเตรียมพร้อมและทำความคุ้นเคยกับการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
2. Metaverse เติบโตอย่างต่อเนื่อง
มีผู้เชี่ยวชาญต่างๆ คาดการณ์ว่า “Metaverse” หรือ เทคโนโลยีแห่งโลกเสมือนที่เชื่อมต่อผู้คนระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงเข้าสู่โลกดิจิทัล สามารถทำงาน เล่นเกมส์ ทำกิจกรรม และเชื่อมโยงกันบนแพลตฟอร์มได้ราวกับว่าเป็นชีวิตจริงๆ นั้น จะมีการเติบโตอย่างมากและจะเพิ่มมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจโลกภายในปี 2030 และในปี 2023 นี้ ก็จะเป็นปีที่กำหนดทิศทางของ Metaverse ในทศวรรษหน้า
เทคโนโลยี Augmented reality (AR) และ Virtual reality (VR) จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2023 นี้ เราน่าจะเห็นสภาพแวดล้อมในการทำงานขององค์กรต่างๆ อยู่ในรูปแบบ Metaverse มากขึ้น ให้พนักงานสามารถพูดคุย ระดมสมอง และสร้างสรรค์งานร่วมกันได้บนโลกเสมือนจริง ซึ่งในตอนนี้ บริษัท Microsoft และ Nvidia ก็ได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม Metaverse สำหรับการทำงานร่วมกันอยู่เช่นกัน
เราจะได้เห็นเทคโนโลยีอวาตาร์ (Avatar) ขั้นสูงมากขึ้นในปีนี้ (อวาตาร์ หรือ ตัวตนเสมือนที่ใช้แทนตัวเราในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้ใช้รายอื่นในโลกของ Metaverse) ที่จะมีลักษณะเหมือนกับที่เราทำกิจกรรมด้วยตัวเองจริงๆ และสามารถใช้ภาษากาย และท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ของเราได้สมจริงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังอาจจะได้เห็นการพัฒนาอวาตาร์ AI ที่จะสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเราใน Metaverse ได้โดยที่เราไม่ต้อง Login เข้าสู่ระบบในโลกดิจิทัลก็ตาม
หลายๆ บริษัท ได้นำเทคโนโลยี Metaverse เช่น AR และ VR มาใช้เพื่อฝึกอบรมพนักงานแล้ว และมีแนวโน้มนี้จะเติบโตขึ้นในปี 2023 เช่น บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศยักษ์ใหญ่อย่าง Accenture ได้สร้างสภาพแวดล้อม Metaverse ที่ชื่อว่า Nth Floor ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงที่ได้จำลองสำนักงานจริงของ Accenture ให้มาอยู่ในโลกดิจิทัล เพื่อให้พนักงานใหม่ และพนักงานปัจจุบันสามารถดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านทรัพยากรบุคคลได้ โดยไม่จำเป็นต้องประจำอยู่ที่สำนักงานจริงในขณะนั้น
3. การเติบโตของ Web3
Web3 หรือ Web 3.0 (ยุคการใช้งานอินเทอร์เน็ตต่อมาจาก เว็บ 1.0 และ เว็บ 2.0) เป็นแนวคิดของการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เน้นการทำงานแบบไม่รวมศูนย์ ตัวอย่างการใช้งาน เช่น Blockchain และ DeFi บริการทางการเงินที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ผ่านตัวกลาง
เทคโนโลยี Blockchain จะเติบโตอย่างมากในปี 2023 เนื่องจากบริษัทต่างๆ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นรูปแบบ Decentralized (เป็นลักษณะกระจายอำนาจ) มากขึ้น เช่น ในปัจจุบันที่เรากำลังจัดเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ในระบบคลาวด์ (Cloud) แต่หากเรากระจายอำนาจการจัดเก็บข้อมูลและเข้ารหัสข้อมูลนั้นโดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ข้อมูลของเราจะไม่เพียงปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้เราพบวิธีการใหม่ๆ ในการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลอีกด้วย
Non-fungible tokens หรือ NFTs (คริปโตเคอร์เรนซี่ ที่ใช้แสดงถึงความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์) เป็นการกระจายอำนาจในการเป็นเจ้าของเงินตามคอนเซ็ปต์ของ DeFi และ Web3 จะใช้งานได้จริงมากขึ้นในปี 2023 นี้ เช่น การใช้ตั๋วคอนเสิร์ต NFT , การใช้ NFT ในการซื้อผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล หรือการใช้ NFT เป็นหลักประกันสัญญาที่เราทำกับบุคคลอื่น เป็นต้น
4. การเติบโตของ Digital twin และ 3D printing เชื่อมโยงระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริง
การเชื่อมโยงระหว่างโลกดิจิทัล และโลกแห่งความเป็นจริง มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2023 โดยการเชื่อมโยงนี้ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เทคโนโลยี Digital twin (เทคโนโลยีการสร้างโมเดลจำลองวัตถุทางกายภาพเสมือนจริง) และ 3D printing (การพิมพ์ 3 มิติ)
Digital Twins คือ การจำลองกระบวนการ การปฏิบัติงาน หรือผลิตภัณฑ์เสมือนจริง ที่ถูกนำมาใช้เพื่อทดสอบแนวคิดต่างๆ ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่มีความปลอดภัยมากกว่า นักออกแบบและ Engineer ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อสร้างวัตถุทางกายภาพ (Physical objects) ขึ้นมาในโลกเสมือนจริง ทำให้สามารถทำการทดสอบต่างๆ ได้ทุกสภาวะโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการทดลองจริง
ในปี 2023 เราจะเห็น เทคโนโลยี Digital twins นี้ถูกนำมาใช้มากขึ้น ทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรรถยนต์ ไปจนกระทั่งธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ (Precision healthcare) และหลังจากทดสอบในโลกเสมือนจริงแล้ว Engineers อาจมีการปรับแต่งและแก้ไขส่วนต่างๆ ให้เหมาะสม ก่อนที่จะนำไปผลิตจริงโดยเทคโนโลยี 3D printing (การพิมพ์ 3 มิติ)
- ตัวอย่างการนำ Digital twin และ 3D printing ไปใช้
ทีมแข่งขันรถ Formula 1 ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่ส่งมาจากเซ็นเซอร์ในระหว่างการแข่งขัน ทั้ง ข้อมูลอุณหภูมิของสนามแข่ง และสภาพอากาศ เพื่อดูว่ารถมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในระหว่างการแข่งขัน จากนั้นจะสตรีมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ไปยัง Digital twins ของเครื่องยนต์และส่วนประกอบของรถยนต์ และทำการจำลองสถานการณ์เพื่อปรับเปลี่ยนการออกแบบทันที จากนั้นทีมงานจะใช้ 3D printing พิมพ์ชิ้นส่วนรถยนต์ตามผลของการทดสอบ
5. เทคโนโลยี Editable Nature
เราจะอยู่ในโลกที่เราสามารถแก้ไข/ดัดแปลง วัสดุ พืช หรือแม้แต่มนุษย์ได้ ด้วยนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) ซึ่งช่วยให้เราสร้างสิ่งต่างๆ ที่มีคุณสมบัติใหม่ทั้งหมดได้ เช่น คุณสมบัติในการกันน้ำ และความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง
หลายคนอาจจะรู้จัก CRISPR-Cas9 (เทคนิคการตัดต่อ DNA แบบใหม่ ที่ทำให้สามารถแก้ไขรหัสพันธุกรรมได้) มาบ้างแล้ว แต่ในปี 2023 นี้เราจะได้เห็นเทคโนโลยีการตัดต่อยีนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยวิธีการเปลี่ยนแปลง DNA ซึ่งการแก้ไขตัดต่อยีนนั้น จะช่วยแก้ไขการกลายพันธุ์ของ DNA, แก้ปัญหาการแพ้อาหาร, เพิ่มความสมบูรณ์ของพืชผล หรือแม้กระทั่งแก้ไขลักษณะของมนุษย์ เช่น สีตา และสีผม
6. ความก้าวหน้าของ Quantum computing
ตอนนี้ ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันเพื่อการพัฒนา Quantum computing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่อาศัยปรากฏการณ์เชิงควอนตัมในการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูล เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ที่คาดว่าจะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วกว่า CPU ที่เร็วที่สุดในปัจจุบันถึงล้านล้านเท่าเลยทีเดียว
แต่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการมาของ Quantum computing คือ อาจทำให้การเข้ารหัสในปัจจุบันไร้ประโยชน์ ดังนั้นประเทศใดก็ตามที่พัฒนา Quantum computing ก็จะสามารถทำลายการเข้ารหัสของประเทศอื่นๆ ทั้งข้อมูลด้านธุรกิจ ระบบรักษาความปลอดภัย และการเข้ารหัสอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และรัสเซีย ได้ทุ่มเงินให้กับการพัฒนา Quantum computing จึงเป็นแนวโน้มที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในปี 2023!!
7. ความก้าวหน้าของ Green Technology (เทคโนโลยี IT เพื่อสิ่งแวดล้อม)
การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของโลก เพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพอากาศ และในปี 2023 นี้ เราจะเห็นความก้าวหน้าเกี่ยวกับ Green hydrogen (ไฮโดรเจนสีเขียว) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานเผาไหม้สะอาดแบบใหม่ ที่เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบเป็นศูนย์ โดย Shell และ RWE ซึ่งเป็นบริษัทด้านพลังงานรายใหญ่ของยุโรป กำลังพัฒนา Green pipeline แห่งแรกจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลเหนือ
นอกจากนี้ เรายังจะได้เห็นความคืบหน้าในการพัฒนา Decentralized power grids (ระบบไฟฟ้าแบบกระจายตัว) อีกด้วย ซึ่งเป็นการทำให้ระบบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กและแหล่งกักเก็บไฟฟ้าตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน หรือบ้านแต่ละหลัง ทำให้สามารถจ่ายพลังงานได้แม้ว่าจะไม่มีโครงข่ายไฟฟ้าหลักก็ตาม
แม้ว่าในปัจจุบัน ระบบพลังงานจะยังถูกกำหนดโดยบริษัทก๊าซและพลังงานขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่การริเริ่มพัฒนาระบบพลังงานแบบกระจายนี้ จะทำให้การใช้พลังงานทั่วโลกมีความเท่าเทียม และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้
8. หุ่นยนต์ (Robots) จะเหมือนมนุษย์มากขึ้น
ในปี 2023 หุ่นยนต์ (Robots) จะมีลักษณะเหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น ทั้งรูปร่างหน้าตา และความสามารถ หุ่นยนต์ประเภทนี้จะถูกใช้งานในโลกจริงๆ เช่น หุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับ เจ้าหน้าที่บาร์เทนเดอร์ เจ้าหน้าที่ให้บริการอำนวยความสะดวก และเป็นเพื่อนของผู้สูงวัย นอกจากนี้ หุ่นยนต์ยังจะเข้ามาทำงานร่วมกับมนุษย์ในสายงานการผลิตและการขนส่ง เช่น ทำงานในคลังสินค้า ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
ในงาน Tesla AI Day ที่จัดขึ้นในเดือนกันยายน 2022 อีลอน มัสก์ ได้เปิดตัวหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ตัวต้นแบบ ชื่อว่า Optimus สองตัว และได้กล่าวว่าจะพร้อมจำหน่ายหุ่นยนต์ภายใน 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งหุ่นยนต์นี้จะสามารถทำงานง่ายๆ แทนมนุษย์ได้ เช่น การยกของ และรดน้ำต้นไม้ ดังนั้น บางทีเร็วๆ นี้เราอาจจะได้เห็น Robot butlers (หุ่นยนต์พ่อบ้าน) ที่จะมาช่วยงานในบ้านของเราค่ะ
9. ความก้าวหน้าของ Autonomous System (ระบบอัตโนมัติ)
ระบบอัตโนมัติต่างๆ ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการจัดส่ง (Delivery) และลอจิสติกส์ (Logistics) ในขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าหลายๆ แห่ง ได้นำระบบอัตโนมัติไปใช้ในการดำเนินการแล้วบางส่วน และบางแห่งก็มีการใช้ระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว
ในปี 2023 เราจะเห็นรถบรรทุก และเรือ ที่สามารถขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติมากขึ้น เช่นเดียวกับหุ่นยนต์ส่งของที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากโกดัง และโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากได้นำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้
- ตัวอย่างการนำ Autonomous System ไปใช้
บริษัท Ocado ที่ทำธุรกิจซูปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ของอังกฤษ ที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในโลก” ได้ใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติหลายพันตัวในคลังสินค้าอัตโนมัติ มาทำหน้าที่จัดเรียง ยก และเคลื่อนย้ายสินค้า และใช้ AI ในคลังสินค้า เพื่อวางสินค้ายอดนิยมให้หุ่นยนต์เข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ บริษัท Ocado ยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีอัตโนมัติสำหรับการบริหารจัดการในคลังสินค้า เพื่อให้ผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ ได้นำไปใช้
10. การใช้ Sustainable Technology (เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน) เพิ่มขึ้น
ในปี 2023 เราจะเห็นการผลักดันไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่ยั่งยืนมากขึ้น ที่ผ่านมาเราใช้เทคโนโลยีต่างๆ มากมายในชีวิตประจำวันและการทำงาน เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ แต่ผู้คนอาจจะไม่ได้นึกถึงว่าสิ่งที่นำมาผลิต Gadget ต่างๆ นั้นมาจากที่ใด?
มาในปีนี้ ผู้คนจะตระหนักถึงเรื่องนี้มากขึ้น เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ (Computer chips) มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด และเราใช้มันคุ้มค่าหรือไม่? รวมถึงการใช้บริการคลาวด์ (Cloud services) เช่น Netflix และ Spotify ซึ่งมีระบบคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ต่างๆ รันอยู่ในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data centers) ซึ่งใช้พลังงานจำนวนมาก
แต่ในปี 2023 เราจะได้เห็นการผลักดันให้ Supply chains ใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนในการดำเนินการมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคต้องการให้ผลิตภัณฑ์และบริการที่พวกเขาได้ลงทุนไปนั้น ประหยัดพลังงาน และมาจากเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
จะเห็นว่าทั้ง 10 เทคโนโลยีข้างต้น น่าสนใจไม่แพ้กันเลยค่ะ เรามาจับตาดูความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กันนะคะ
Reference
Bernard Marr, “The Top 10 Tech Trends In 2023 Everyone Must Be Ready For”, From: